top of page

Mount.KINABALU

  • Writer: mototravelth
    mototravelth
  • Aug 2, 2018
  • 5 min read

Updated: Apr 14, 2020



จะออกไปแตะขอบฟ้า !!!

ผมนั่งๆนอนๆ ฟังเพลง “เรือเล็กควรออกจากฝั่ง” ของพี่ตูน บอดี้แสลม ใจของผมก็ล่องลอยหวนนึกถึงการเดินทางแตะขอบฟ้าโหดๆหลายๆทริปที่ผ่านมา ณ ตอนนี้คงไม่มีทริปไหนที่ผมจะจดจำได้ทุกรายละเอียดมากเท่ากับที่ผมได้มีโอกาสไปเดินไต่เมฆ ถ่ายภาพที่ยอดเขา KINABALU ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ดินแดนที่มีความหลากหลายทางระบบนิเวศและชนชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก


การถ่ายงานครั้งนี้ ผมได้รับการติดต่อมาจากทางการท่องเที่ยวมาเลเซีย ให้ไปท่องเที่ยวถ่ายภาพเพื่อนำมาใช้ในโปรเจคส่งเสริมการท่องเที่ยวของมาเลเซีย ในชื่อโครงการ “Visit Malaysia 2014” โดยมีการเปิดทั้งหมด 8 เส้นทาง แน่นอน เส้นทางของผมเป็นการไปถ่ายภาพที่ค่อนข้างทรหด อดทนและเวลากระชั้นกว่าทุกเส้นทาง ตามคอนเซ็ป “ช่างภาพขา(ลาก)ลุย” ที่หลายๆคนช่วยกันแปะไว้กลางหน้าผากล้านๆของผม ฮ่าๆๆ

ปกติผมมักจะเดินทางคนเดียวตลอด แต่พิจารณาจากที่คุยกับทางการท่องเที่ยวมาเลเซียแล้ว คาดว่าผมคนเดียวคงลากกระเป๋ากล้อง อุปกรณ์ต่างๆถ่อสังขารในต่างป่าต่างแดนในระยะเวลาที่มีจำกัดได้ไม่สะดวกแน่แท้ ทริปนี้จึงชักชวนพี่ผู้ช่วยอีกคนไปช่วยเก็บภาพด้วยอีกแรง (จริงๆเอาไปเก็บภาพตัวผมเองแหละ 555)

จากประสบการณ์ที่ผมเคยเดินป่าลุยที่ “ยอดดอยโมโกจู” มาแล้ว ตามที่เคยรีวิวไปครั้งกระโน้น

ครั้งนี้จึงจัดเตรียมสัมภาระเท่าที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น เรียกว่า หวังจะหล่อ พร๊อพเต็ม เดินเล่นช้อปปิ้งเพลินๆ ทริปนี้คงไม่มี บทเรียนที่โมโกจู มันสอนอะไรให้ผมเรียนรู้และจดจำไว้เยอะมากๆ

การเดินทางมุ่งหน้าสู่ KINABALU ในครั้งนี้ ผมขอขอบคุณสายการบิน Malaysia Airline สำหรับการสนับสนุนตั๋วเครื่องบินตลอดเส้นทาง และการท่องเที่ยวมาเลเซียที่จัดเจ้าหน้าที่ Standby คอยอำนวยความสะดวกต่างๆตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นั่น

เชื่อผมเถอะ หลังจากคุณอ่านและชมรีวิวนี้จนจบแล้ว ให้ถามตัวเองดู ถ้าคุณยังมีไฟและแรงบันดาลใจให้ตัวเองอยู่บ้าง ผมขอบังอาจแนะนำว่า “คุณควรไปแตะขอบฟ้าจริงๆสักครั้งก่อนตายให้ได้นะ”

ตอนนี้ตามผมไต่เมฆในนี้ไปพลางๆก่อนก็แล้วกันเนาะ อ่านทุกตัวอักษรจะดีนะครับ จะนึกภาพตามเหมือนได้ไปพร้อมกับผมแน่นอน

เปิดฉากก่อนเดินทางไปถ่ายที่ยากๆ ผมมักจะโดนแจ็คพ๊อตทุกครั้ง เฮ้อ !

คืนก่อนเดินทางผมและพี่ผู้ช่วย ต้องยอมรับว่างานแยะมาก กระเป๋าเดินทางก็เพิ่งจัดกัน กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไป ตี 1 ของผมนี่หนัก ตอนประมาณเกือบตีหนึ่งดันเกิดอุบัติเหตุ ทำแก้วหล่นในห้องน้ำ โดนเศษแก้วแตก ลอยกระเด็นใส่นิ้วนางข้างขวาเป็นแผลลึก เลือดไหลเต็มแขนต้องกดแผลและเอาสำลีกับพลาสเตอร์ปิดกันไว้ก่อน ไปหาหมอก็คงไม่ต้องนอนกันพอดี ตอนเช้าค่อยว่ากัน เรียกว่า สโลสเล ไปสนามบินก็ว่าได้

วันที่หนึ่ง

 ผมมาเช็คอินและโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ เดินทางจากกรุงเทพไป กัวลาลัมเปอร์ (KL) และจึงต่อเครื่องที่นั่นไปยังเมือง Kota Kinabalu ซึ่งอยู่บนเกาะบอร์เนียวอีกต่อหนึ่ง 

ระหว่างรอเรียกขึ้นเครื่องพวกเราแวะไปช้อปยารักษาโรค ยาแก้อาการปวดต่างๆ เพราะได้ใช้แน่ๆ หาจากบ้านเราไปให้พร้อมจะสะดวกกว่ามาก พร้อมกับให้เภสัชที่ร้านดูแผลที่นิ้ว เค้าแนะนำให้ไปหาหมอเพื่อเย็บ แต่ผมคงไม่สามารถไปหาหมอได้ในเวลาที่ต้องเดินทางไกลเช่นนี้ จึงขอยาแก้ปวดที่แรงๆ และอะไรก็ได้ที่ห้ามเลือดดีๆเอามาทำแผลประทังอาการไปก่อน เสร็จเรียบร้อย ผมก็ไปหาที่แลกเงิน อัตราแลกเปลี่ยนวันนั้น 1 ริงกิตเท่ากับ 9.19 บาทไทย ผมแลกไปสามพันบาทไทยก็ได้ประมาณ 290 ริงกิตโดยประมาณ

รอขึ้นเครื่อง

📷

📷

ดูหนัง ฟังเพลง ชาร์จแบตพร้อม

📷📷

ระยะทางจากสุวรรณภูมิไปลงที่ KL ประมาณ 1,200 กิโลเมตร

📷

ไฟล์ท 10:50 ถึงที่ KLIA 1  ประมาณบ่ายสอง  พอถึงปุ๊บรีบปรับนาฬิกาทันใด เวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าเมืองไทยประมาณ 1 ชั่วโมง และค่าเงินของที่นี่ 1 ริงกิตเท่ากับ 10 บาทไทยโดยประมาณ

📷

📷

📷

ผู้คนพอสมควร มาไม่ผิดที่ละ เพราะฟังเค้าพูดไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ

📷

จากนั้นผมเหลือเวลาโต๋เต๋อีกประมาณ 4 ชั่วโมง เพราะต้องรอไฟล์ทที่จะบินต่อไปยัง Kota Kinabalu ตอนหกโมงเย็น กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ไม่รู้จะมีอะไรกินบ้าง เดินไปมา พี่ผู้ช่วยมาเจอร้านนี้ แกบอกให้แวะโลด ก่อนจะเป็นลมตายซะก่อน

📷

ได้เมนูนี้มา แปลเป็นไทยก็ประมาณ แกงกะหรี่ไก่จิ้มขนมปัง วิธีกินก็ไม่ยาก ฉีกขนมปังจิ้มๆกับแกงแล้วยัดเข้าปาก อร่อยแบบหิวๆ ราคาประมาณ 10 ริงกิต

📷

จากนั้นเดินเล่นดูผู้คน วันที่ผมมาคนที่ KLIA1 ค่อนข้างบางตา เดินไปรอบๆชักคอแห้ง ได้เจ้านี่มา 1 ขวด ราคาประมาณ 5 ริงกิต 

เปรี้ยวๆหวานๆอร่อยดี

📷

นั่งๆนอนๆยาวๆไป ชดเชยที่นอนดึกจากเมืองไทย จนใกล้เวลาบินต่อไป Kota Kinabalu เตรียมตัวเดินทางต่อ  ไฟล์ทจาก KL (Kuala Lumper) ไป KK (Kota Kinabalu) จะบินประมาณหกโมงเย็นไปถึงประมาณสองทุ่มครึ่ง

เช็คอินเรียบร้อย นั่งเครื่องไปต่ออีกเกือบๆ 1,700 กิโลเมตร มุ่งหน้าสู่เกาะบอร์เนียว (ไกลกว่า กรุงเทพมากัวลาลัมเปอร์อีกอ่ะ)

รูปนี้ถ่ายหลังจากบินมาได้สักพักนึงแล้วครับ

📷

📷

นั่งเมื่อยมากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ถึงซะที Kota Kinabalu International Airport เดินผ่านตรวจคนเข้าเมือง และรอรับกระเป๋า จากนั้นแบกๆลากๆมาที่ด้านหน้า เจอเจ้าหน้าที่ของการท่องเที่ยวมารอรับ 1 คน เป็นชายวัยกลางคน ชื่อ Mr.Bobby ซึ่งจะอยู่คอยแนะนำและอำนวยความสะดวกให้ผมในช่วงเวลาที่ถ่ายงานอยู่ที่เมือง Koata Kinabalu

📷

     “รัฐซาบาห์” เป็นรัฐที่มีเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของประเทศมาเลเซีย อยู่บนเกาะบอร์เนียวที่แบ่งเป็น 3 ประเทศคือ มาเลเซีย, บรูไน และอินโดนีเซีย ตัวเมืองมีสภาพเป็นเมืองภูเขา เต็มไปด้วยผืนป่าดิบชื้นในเขตร้อนอันอุดมสมบูรณ์ และมีเมืองหลวงที่ชื่อ "โกตาคินาบาลู" และมียอดเขาคินาบาลูเป็นไฮไลท์ ดินแดนสวรรค์ของนักปีนเขาและนักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัยทั่วโลก

📷

หลังจากทักทายและแนะนำตัวกันพอสมควร Bobby พาผมไปโรงแรมที่พักในคืนนี้ อยู่ใจกลางเมือง ชื่อ โรงแรม Sabah Oriental Hotel ถึงโรงแรม รีบเช็คอินเข้าห้องพัก อาบน้ำอาบท่า เพราะเดินทางทั้งวัน เพลียมาก ประมาณสามทุ่มครึ่ง ลงมาหาอะไรกิน ด้านนอกโรงแรมเงียบสงัด ไม่มีร้านอะไรอยู่เลย จึงเดินกลับมาสั่งอาหารที่โรงแรมแทน ผมสั่งเป็นคล้ายๆมาม่าผัดนะ กินไปก่อน หิวมากแล้ว ราคาประมาณ 17 ริงกิต จานใหญ่มาก รสชาดพอกินได้ แต่น้ำมันแอบเยอะไปนิดนึง

กินเสร็จตอนสี่ทุ่ม รีบขึ้นห้องเพื่อจัดเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมและรีบเข้านอน (รูปโรงแรมไม่มีเวลาถ่ายมาให้ชมนะครับ ดูจากตาก็ประมาณ 3 ดาวบ้านเราแหละ)  เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นกันตั้งแต่ตี 5 เพื่อออกเดินทางไป อุทยานแห่งชาติคินาบาลู (KINABALU NATIONAL PARK) ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากโรงแรมที่เราพักประมาณ 90 กิโลเมตร เรียกว่า ลุยต่อเนื่องแทบไม่ได้พักกันเลยครับ

วันที่สอง 

เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ๊ก เสียงนาฬิกาปลุกจากไอโฟน3G ของผมดังสนั่น พวกเรากระเด้งออกจากเตียงแบบงัวเงียเพราะเพลียจากการเดินทางเมื่อวาน จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย แบกกระเป๋าลงมาเช็คเอาท์ที่ล็อบบี้ โดยวันนี้ Bobby จะเป็นสารถีพาเราไปส่งที่ KINABALU NATIONAL PARK ออกเดินทางกันอีกครั้งครับ ใช้เวลาประมาณ 7:00 am – 8:30 am ก็ชั่วโมงครึ่งน่าจะถึง

📷

ของว่างรองท้องระหว่างเดินทางบนรถ

📷

ออกนอกเมืองมาได้สักชั่วโมง มาแวะร้านนี้เพื่อเติมพลังให้เต็ม ใครเคยไปมาเลเซียมาก่อน จะสังเกตได้ว่า ไอ้น้ำยี่ห้อ 100PLUS เป็นอะไรที่นิยมแบบทุกหัวระแหงมาก ผมก็ซื้อมาลองดื่มดูนะ เออ มันอร่อยดี คล้ายๆจะเป็นเกลือแร่ผสมสไปรท์บ้านเรา แต่ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นดี ราคาประมาณ 2 – 3 ริงกิต แล้วแต่สถานที่และร้านที่ขาย อันนี้แนะนำ ดื่มแล้วสดชื่นจริงๆ  มื้อนี้ผมสั่ง Mee Hun (บ้านเราก็เรียก หมี่หุน) เป็นมื้อเช้า แล้วก็สั่งข้าวใส่กล่องเพื่อเป็นมื้อเที่ยงระหว่างทางบนเขา หาซื้อช็อคโกแลตไปสี่ห้าแท่งติดตัวไปด้วย

📷

กินข้าวเสร็จเดินไปดูวิวรอบๆร้าน ด้านหลังวิวอลังการมากเห็นยอดเขา KINABALU แบบเต็มๆลูกเลยครับ ที่สูงๆแหลมๆโน่นละครับ ที่ผมต้องป่ายปีน เห็นแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ฝุ่นละอองจริงๆ

📷

นั่งรถต่อไปอีกเกือบๆชั่วโมง ลัดเลาะขึ้นเขาไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าสู่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติคินาบาลู ตื่นตาตื่นใจตลอดทาง เมฆสวยมากๆๆๆๆๆ  ภูเขาบ้านเค้าอลังการงานสร้าง ทะเลเมฆ (ไม่ใช่ทะเลหมอกนะ) มากมายมหาศาลตลอดทาง

ถึงแล้วครับ KINABALU NATIONAL PARK ทำการลงทะเบียนและเสียค่าผ่านประตูต่างๆให้เรียบร้อย ทุกคนจะได้บัตรผ่านเข้าอุทยานสวยๆไว้กับตัวและห้ามทำหายนะครับ เพราะจะต้องใช้ระบุตัวตนและเช็ควินจุดที่คุณเดินไปถึงบนเขาด้วย

📷

📷

เข้าห้องน้ำ และจัดเตรียมสัมภาระและอุปกรณ์ให้พร้อมสรรพ ติดต่อลูกหาบไว้ได้หนึ่งคน ซึ่งจะเป็นไกด์นำทางบนเขาให้ผมด้วยในคนคนเดียว ไกด์ + ลูกหาบของเรา ชื่อ อัซลี่ เป็นชายวัยประมาณ 40 ปลายๆ ท่าทางทะมัดทะแมง  โดยผม (ชายวัย 30+)และพี่ผู้ช่วย(ชายวัย 40+) จะให้เค้าช่วยแบกในส่วนของเสื้อผ้าและของใช้ ส่วนอุปกรณ์กล้อง กระเป๋าเป้และขาตั้งกล้อง โดยจรรยาบรรณแล้ว ต้องแบกเอง(อย่างจำใจ) ส่วนค่าใช้จ่ายในการแบกของลูกหาบที่นี่ จะคิดเป็นกิโลกรัมต่อระยะทางสองช่วงแตกต่างกันไปนะครับ ไว้จะมาอธิบายตอนสรุปให้ดูอีกที

📷

วิวและมวลเมฆจากที่จอดรถของอุทยาน มันสุดยอดมากๆ โดยเฉพาะเมฆที่นี่ เป็นอะไรที่เกิดมาผมไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน มันวิ่งพัดผ่านด้วยความเร็วแบบ 4 x 100 ผ่านหน้าผ่านหัวฉิวๆๆ

📷

อุทยานแห่งชาติคินาบาลู สามารถรับนักท่องเที่ยวได้วันละ 196 คน ทุกๆหกคนต้องมีไกด์หนึ่งคน และมีช่วงเปิดฤดูกาลสำหรับให้นักเดินป่าและนักปีนเขาจากทั่วโลกไปเยือนเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศตอนนั้นๆด้วย

จากนั้น Bobby ได้นำพวกเราสามคน ขึ้นไปส่งยังทางเข้า Timpohon Gate พร้อมอธิบายเส้นทางการเดินขึ้นยอดเขา KINABALU  โดยการเดินป่าในเส้นทางนี้ จะแบ่งการเดินออกเป็นสองช่วง ดังนี้

- Timpohon Gate เส้นทางนี้จะสั้น ใช้เวลาน้อยกว่า ขึ้นอย่างเดียว เป็นเส้นทางหลักเลย (ล่างซ้าย ตามรูป)

- Mesilau Gate เส้นนี้จะไกลกว่า ใช้เวลามากกว่า ต้องเดินกันตั้งแต่เช้า มาสายๆ คงจะหมดสิทธิ์ เพราะต้องต่อรถไปขึ้นอีกจุดหนึ่ง (ล่างขวา ตามรูป) เส้นทางนี้จะขึ้นๆ ลงๆ และไกล แต่จะได้สัมผัสธรรมชาติมากๆ เพราะจะอุดมสมบูรณ์กว่าเส้น Timpohon

📷

ฟังอธิบายเสร็จก็ทำการเช็ครองเท้า จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ ใครมีไม้เท้าก็จัดให้พร้อม ช่างภาพอย่างผมก็ใช้ขาตั้งกล้องแทนได้สบายมาก (ไม้เท้าหรือขาตั้งกล้องช่วยในการเดินป่าระยะไกลและชันได้มาก ผมพิสูจน์มาหลายทริปแล้ว เป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้จริงๆ)

ลองชั่งน้ำหนักอุปกรณ์ที่ต้องแบกขึ้นไปเองดู ไม่มากไม่น้อย 6 กิโลกรัม หนักกล้อง เลนส์ล้วนๆ ผมแบก Nikon D7000 + 10-24 / Nikon D800E + 80-400Nano + 17-35 f2.8 + Macro 105Nano +iPad2 + iPhone4 อยากได้ภาพก็ต้องกัดฟันแบก เพราะจำเป็นต้องใช้ทุกตัว

📷

หายใจลึกๆ สบตากับสหาย พยักหน้าให้กัน ส่งสัญญาณกับลูกหาบ พร้อมแล้วก็ลุยกันกับ

“ภารกิจไต่เมฆพิชิตยอดเขาคินาบาลู”

📷

เราเริ่มออกเดินกันเมื่อเวลาประมาณ 10 โมงเช้า อากาศสบายๆ อุณหภูมิประมาณ 25 องศา เส้นทางยังเดินได้เรื่อยๆสบายๆ ช่วงแรกที่ออกเดินมีนักเดินป่าชาวต่างชาติหลายคนร่วมทาง ร่วมพูดคุยมาพักหนึ่ง จนเดินไปสักชั่วโมง บางคนก็จะนำเราไปก่อนและบางคนก็จะกลายเป็นตามหลังเราแทน สุดท้ายเหลือผมกับพี่ผู้ช่วยและลูกหาบเดินกันอยู่สามคน โดยทิ้งระยะห่างจากกลุ่มอื่นกันพอสมควร

จากที่เดินผ่านมาช่วง 1 กิโลเมตรแรก ต้องขอชื่นชมทางการท่องเที่ยวและการจัดการของอุทยานแห่งชาติที่นี่จริงๆครับ ทำทางเดินป่าได้เป็นธรรมชาติ เป็นระเบียบเรียบร้อย มีป้ายเตือนอันตรายต่างๆตลอดเส้นทาง มีจุดพักให้เติมน้ำทุกๆ 1 กิโล แต่ยังคงสภาพป่าและทางเดินได้เหมือนของเดิมตามที่ธรรมชาติสร้างมา และที่สำคัญมากๆผู้คนทั่วโลกที่มาเดินป่าที่นี่ ทุกคนมีจิตสำนึกในการดูแลธรรมชาติมาก ขยะไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว และไม่มีใครตะโกนโหวกเหวกรบกวนสัตว์ป่าแม้แต่น้อยนิดให้รำคาญใจ

เดินไปได้ชั่วโมงครึ่ง ผ่านไปแล้ว 1 กิโลเมตร หอบใช้ได้ ต่อจากนี้ทางจะชันและโหดขึ้นเรื่อยๆ เหลืออีกตั้ง 5 กิโลเมตรเอง ฮ่าๆๆ

ผมเดินไปก็ระมัดระวังแผลที่นิ้วไป มันเจ็บแปล็บๆตลอดเวลา กลัวแผลจะฉีกเหลือเกิน

เดินกันต่อ มุ่งหน้าสู่กิโลเมตรที่สอง ผมหอบแฮ่ก ผู้ช่วยหอบโฮก กระเป๋าก็น้ำหนักเท่าเดิม แต่รู้สึกมันจะหนักบ่ามากขึ้นเรื่อยๆ ดีที่ตลอดทางมีวิว สัตว์ป่า เยอะแยะมากมายให้แวะถ่ายได้ตลอดทาง

ชื่นชมกับธรรมชาติทั้งพืชพันธุ์และสัตว์ป่า

📷

ที่นี่นกเยอะมากครับ ถ่ายทันบ้างไม่ทันบ้าง หลายตัวคนรักการถ่ายนกแบบผม

ตัวที่เกิดมายังไม่เคยเห็นมาก่อน ก็มีมาให้ชมไม่ขาดสาย

📷

📷

เข้าสู่จุดพักบริเวณกิโลเมตรที่สอง  พวกเราตัดสินใจไม่แวะพักเพราะด้วยอุปกรณ์ที่แบกกันมา ทำให้เราเดินได้ช้ากว่ากลุ่มอื่นๆ กว่าจะถึงจุดนี้ก็ปาเข้าไปบ่ายโมงแล้วครับ เราจึงกัดฟันเดินให้ถึงกิโลเมตรที่สามเพื่อจะไปพักกินข้าวที่นั่น

เมื่อเข้าใกล้จุดพักที่สามกิโลเมตร ผมเดินไปหอบไปอย่างเหนื่อยล้า ใจเต้นตูมตาม เหลียวมองไกลๆเห็นอะไรตะคุ่มๆอยู่บนกิ่งไม้ไกลๆสีแดงๆเป็นกระจุก มองไม่ชัดนัก จึงทำการวางกระเป๋าเปลี่ยนเลนส์ส่องไปดู

📷

เจอเจ้าตัวนี้ครับ Red Leaf Monkey (Borneo Island) นับเป็นโชคดีมาก ไกด์บอกเราว่า เค้าเดินขึ้นลงที่นี่บ่อยๆยังไม่มีโอกาสได้เจอง่ายๆ คุณมาครั้งแรกก็เจอซะแล้ว โชคดีจริงๆ

📷

📷

📷

📷

📷

ลิงชนิดนี้หน้าตาและสัณฐานของหัวกะโหลกแลดูโบราณมาก

ถ่ายอยู่สักพักต้องรีบเก็บกล้องเดินต่อ เพราะลิงเริ่มออกมามากขึ้นๆจนเป็นฝูงใหญ่ น่ากลัว และเริ่มขยับมาใกล้พวกเรามากขึ้นๆ ผมเองก็ยังไม่อยากโดนลิงป่ารุม และระยะทางยังอีกไกล…

ไปต่อดีกว่าเนาะ ฮ่าๆๆ

ถึงจุดพักที่สามกิโลเมตร ได้เวลาหม่ำมื้อเที่ยง อัดเข้าไปเยอะๆเพราะพลังงานแทบจะหมดตัวแล้ว

📷

เรานั่งพักพ่นยาแก้ปวด ทาน้ำมันมวยและกินยาคลายกล้ามเนื้อสักครึ่งชั่วโมง  เตรียมตัวเดินต่อ  ไปเจอเจ้าถิ่นเป็นกระรอกหรือกระแตนี่ล่ะ มาต้อนรับตาแป๋วเชียว เค้าจะออกมาคอยต้อนรับแทบทุกจุดพัก ที่นี่มีเยอะมากและเข้าใกล้นักท่องเที่ยวแบบสนิทใจ อีกนิดเดียวก็ลูบหัวได้แล้ว

ออกเดินต่อยังกิโลเมตรที่สี่

📷

ทางขึ้นระหว่างกิโลเมตรที่สี่ไปยังกิโลเมตรที่ห้านั้น มันแปลกตา อลังการ งดงามแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ป่าโบราณรูปร่างคล้ายต้นบอนไซทั้งหุบเขา มีเมฆลอยผ่านตรงหน้า และเรากำลังจะเดินผ่านทางนี้เพื่อเดินไต่ระดับความสูงทะลุเมฆขึ้นไปด้านบน

📷

📷

📷

📷

📷

ความเหนื่อยล้าถาโถมมากมาย ไหล่ที่หนักอึ้ง ขาที่ปวดแสนสาหัส อากาศที่บางเบาลงเรื่อยๆเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ แต่ก็ยังคงน้อยไปกว่าความมุ่งมั่นในใจและความตกตะลึงกับภาพงดงามของธรรมชาติที่เห็นเบื้องหน้า ที่คอยผลักดันให้เราเดินต่อไปได้อย่างไม่ย่อท้อ

ตอนนี้เวลาประมาณสี่โมงเย็นแล้ว แต่ฟ้านี่ใสสุดๆ

📷

📷

📷

อีกกิโลเมตรเดียวเท่านั้น ไม่เกินสองชั่วโมงน่าจะถึงแคมป์แล้ว ขอบอกว่า เหนื่อยมากครับ และอากาศหนาวลงแบบฮวบฮาบจนน่าตกใจ เดินไปขนลุกไป

📷

ในที่สุดก็ถึงแค้มป์ Laban Rata เพื่อกินอาหารเย็น ตอนเวลาหนึ่งทุ่ม แบบอ่อนระโหยโรยแรง อาหารการกินที่นี่จะเน้นแบบกินเอาแรง เอาพลังงาน เช่น ซุปถั่ว ไข่คน ข้าวสวย แกงเนื้อแกะ ผัดผัก ผัดหมี่หุน ซึ่งความสวยงามและความเอร็ดอร่อยคงไม่สำคัญไปมากกว่าความหิวและความเหนื่อยละครับ มีอะไรพวกเราซัดหมด  อ่อ ชาร้อนที่นี่หอม อร่อยดีนะ “ Sabah Tea ”

📷

หลังจากซัดมื้อเย็นเรียบร้อย เดินไปตรงเคาท์เตอร์ของห้องอาหารจะมีบริการเสื้อกันหนาว ถุงมือ (10 ริงกิต)   ไฟฉายให้เช่า (20 ริงกิต) และมีน้ำดื่มขายในราคา 10 ริงกิต (100 บาท) ผมและผู้ช่วยเช่าถุงมือปีนเขา + ไฟฉายแบบโพกหัวส่องกบ และซื้อน้ำเปล่าคนละขวด หลายคนเห็นราคาแล้วคิดว่าแพง ผมว่าให้เค้าเถอะครับ เพราะกว่าจะแบกมาได้นี่ เค้าต้องเดินป่าหลายชั่วโมงนะ

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสองทุ่ม อุณหภูมิหนาวลงแบบดิ่งมากครับ ควันออกปากแล้ว คาดว่าน่าจะต่ำกว่า 10 องศา เสื้อกันหนาวที่เราเตรียมไปจากเมืองไทยยังกันอากาศได้สบายๆ ถุงมือไหมพรมที่เอาไปยังอบอุ่นดี เราจึงไม่เช่าเสื้อกันหนาวเพิ่ม ตอนนี้เราจะไปที่พักเพื่อพักผ่อนกันแล้วครับ

ถามไกด์ว่าหลังไหนเป็นที่พักของเราในคืนนี้ ไกด์พาเราเดินออกมานอกห้องอาหาร ชี้ไปยังตีนเขาที่เห็นไฟริบหรี่ๆ

ผมกับพี่ผู้ช่วยมองหน้ากันแล้วอุทานถามไกด์แทบจะพร้อมกันว่า “ต้องเดินไปบนนั้นต่อเหรอ?”

คำตอบมาพร้อมสายลมหนาวหนึ่งวูบใหญ่ “Yes!” พระเจ้าผมหมดแรงกันแล้วคร้าบ ที่สำคัญไปกว่านั้น กระเป๋าเสื้อผ้าที่เราฝากลูกหาบแบกขึ้นมา เค้าจะดร็อปลงที่ห้องอาหารเท่านั้น เราต้องแบกทุกอย่างเดินต่อเข้าไปที่พักเอง ทำไงได้ ก็ต้องทำใจแล้วช่วยกันแบกต่อ นึกภาพตามนะครับ เดินขึ้นไปตามไหล่เขามืดๆประมาณ 150 เมตร กระเป๋าเป้ใส่กล้องคนละใบ ขาตั้งกล้องคนละตัว กระเป๋าสัมภาระอีกสองใบ เดินไปพักหอบไปทุกๆ 5 เมตร 10 เมตร ใจจะขาดเสียให้ได้ ใช้เวลาไปทั้งสิ้นประมาณครึ่งชั่วโมง จึงถึงบ้านพัก แทบจะโยนทุกอย่างทิ้งเลยครับ หมดแรงแบบหมดแล้วจริงๆ

ออกมานั่งหน้ามองฟ้าหน้าห้องพัก โอ๊ยๆๆ ทางช้างเผือกใหญ่มาก เอื้อมมือแทบจะจับได้ ดาวดวงใหญ่ๆเป็นล้านๆดวงโอบล้อมรอบตัว สวยงามบรรเจิดมาก ผมมองหน้ากับพี่ผู้ช่วย ว่าจะเอาไงกับหมู่ดาวตรงหน้า เชื่อมั๊ยครับ พวกเราเลือกที่จะไม่ถ่ายทั้งๆที่กล้องและขาตั้งกล้องก็อยู่ในมือ  แต่มันแทบไม่มีแรงยกเหลืออยู่แล้ว (ยังเสียใจจนทุกวันนี้ ถ้าถ่ายมาผมเชื่อว่า มันจะเป็นภาพดาวและทางช้างเผือกที่สวยที่สุดในชีวิตของผมแน่นอน คิดแล้วอยากจะร้องไห้สักสี่ห้าตลบ)

ตัดใจไม่ถ่ายดาวได้แล้ว พวกเราลากสัมภาระเข้าไปเก็บในห้อง โดยห้องที่พวกผมได้จะมีนักปีนเขาต่างชาตินอนอยู่แล้ว 4 คน ผมมาถึงทีหลังสุดจึงต้องปีนขึ้นไปนอนบนเตียงชั้นบน เป็นบ้านพักหลังเล็ก ไม่มีฮีทเตอร์ เพราะผมมาถ่ายงานแบบเร่งด่วน ใช้เวลาประสานงานและจองในช่วงสองวีคก่อนเดินทาง จึงเหลือแค่นี้ จริงๆจองได้ก็อัศจรรย์มากแล้วครับ ตอนนี้อากาศหนาวมากครับ น่าจะเลขตัวเดียว นอนคลุมโปง หน้าตา ฟันเฟิน น้ำท่า ไม่ต้องอาบต้องล้างกันละ

นอนกันทั้งชุดเดินป่าแบบนั้นละครับ เอาแป้งโรยในกางเกงในแทน ต้องรีบนอนให้หลับแบบด่วนจี๋นะครับ เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกปีนเขาตั้งแต่ตีสอง ไม่ผิดหรอกครับ ตีสองจริงๆ ถ้าไม่รีบหลับจะอันตรายมาก ทางพรุ่งนี้โหด เสี่ยง เดินท่ามกลางความมืดและอากาศเบาบางมาก

"ตีสองของวันพรุ่ง เราจะมุ่งสู่ ยอดเขาคินาบาลู กับระยะทางสองกิโลเมตรที่ค่อนข้างเสี่ยงตาย"

วันที่สาม เวลา ตีหนึ่งสี่สิบห้า

ทั้งห้องตื่นนอน ฮ่องกง ฝรั่ง ไทย ทักทายกันเบาๆ พลางแต่งเนื้อแต่งตัว เตรียมอุปกรณ์พร้อมสรรพ ชาวต่างชาติสี่คนเดินออกไปกินข้าวที่ห้องอาหารก่อน พวกผมยังคงง่วนอยู่กับการเตรียมกล้อง อุปกรณ์จากที่ดูๆนักปีนเขาโดยรอบ ของเราหนักหน่วงกว่าทุกคน ทุกชาติที่อยู่บนเขาวันนี้

ประมาณจัดหนัก(หนักจริงๆ) จัดเต็ม (พะรุงพะรัง) แน่นอน

📷

จัดของเสร็จ เราเดินลงมาเพื่อกินอาหารเช้าตอนตีสองนิดๆ อาหารก็จะคล้ายๆเมื่อคืนทุกอย่าง

เอ้า กินๆๆ ให้มีแรงไต่เขา

📷

ออกเดินทางกันแล้วครับ อีกสองกิโลเมตรเราจะขึ้นไปพิชิตยอดเขา KINABALU ให้ได้ ระหว่างเดินถ้าจะถ่ายภาพนิ่ง ผมแนะนำเก็บกล้องให้หมดครับ มันมืดตื๊ดต่อ  ถ่ายอะไรไม่ได้เลย ตั้งใจเดินเพื่อความปลอดภัยจะดีกว่าหรือจะถ่ายวิดิโอแบบผมก็พอไหวนะ

📷

ยิ่งเดินขึ้นไปยิ่งหายใจลำบากมากขึ้นทุกที อุณหภูมิหนาวโคตรๆ ผมไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่ แต่น่าจะแตะเลขตัวเดียว ไฟฉายบนหัวและขาตั้งกล้องเป็นพระเอกของการเดินในช่วงนี้ครับ

ไม่มีนี่ ชีวิตเสี่ยงขึ้นอีกโข

เดินฝ่าความมืด ไต่เขาไปเรื่อยๆ หอบหนักๆก็หลายหน สยิวมากเพราะต้องไต่เชือกปีนหน้าผาขึ้นไประยะทางหลายร้อยเมตร ลมแรงและหนาวแบบโหดๆ จุดนี้ควรฟิตร่างกายช่วงแขนดีๆนะ ถ้าหมดแรงปล่อยมือจากเชือกนี่ ได้มีกลิ้งลงเขาแบบด่วนพิเศษทันที

เวลาประมาณ ตีสี่ครึ่ง พวกเราก็ดั้นด้นมาจนถึงจุดเช็คระยะ เพื่อลงทะเบียนระหว่างทางยืนยันว่าท่านไม่สูญหายระหว่างทาง

ลุยต่อไต่ๆเดินๆคลานๆหมอบๆไปตามสันเขา ใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมง  ต้องกัดฟันเร่งความเร็วให้ทันก่อนพระอาทิตย์โผล่พ้นสันเขา

📷

ดั้นด้นบาดเจ็บข้ามน้ำข้ามทะเล ป่ายปีนมาไกลขนาดนี้

ขอดูเวลาถึงยอดสิ ว่าคินาบาลูจะตอบแทนผมด้วยความสาสมหรือไม่ ฮึบๆๆ สู้โว๊ยย!!!

จวบจนเวลาเช้า แสงแรกโผล่พ้น ณ จุดๆนี้

📷

อากาศดีจริงจัง หนาวมาก 0 องศาเซลเซียส

📷

ผมขอตะโกนดังๆ ประกาศให้ทั้งโลกรู้ “ผมมาเหยียบ KINABALU สำเร็จแล้วๆๆๆๆๆๆ !!!!”

📷

แสงแรกสาดส่องช่องเขาบนยอดคินาบาลู

📷

หนาวระดับถอดถุงมือปีนเขาออกมา มือเป็นสีแดง เจ็บมาก ผมและพี่ผู้ช่วยหนาวจนกดชัตเตอร์แทบไม่ไหว ชุดของพวกเรากันหนาวบนยอดคินาบาลูไม่อยู่ ลมพัดตัวแทบปลิว ลมพัดเข้ากางเกงเย็นไปถึงเนื้อใน ต้องถ่ายไปวิ่งหลบซุกซอกหินไป เพราะที่พวกเราเช็คข้อมูลมาจากหลายๆที่ ก่อนมาที่นี่ บอกแต่ว่าอุณหภูมิเฉลี่ย 18-20 องศา แต่ไม่ได้เช็คข้อมูลบนยอดเขา มารู้จากไกด์ทีหลังว่าที่พวกผมขึ้นถ่ายครั้งนี้ อยู่ที่อุณหภูมิแตะๆ 0 องศา มิน่า หนาวชิบเป๋งเลยครับ

หล่อๆไปครับ นาทีนี้

📷

ยิ่งใหญ่และอลังการมาก

📷

สำหรับผม ที่นี่เหนื่อยและเสี่ยงน่าดูชม แต่ธรรมชาติก็ตอบแทนผมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับภาพที่อยู่รอบตัวในตอนนี้ สุดยอดที่สุดในชีวิตจริงๆ!!!

📷

📷

ขาขึ้นก็ไต่เส้นนี้ขึ้นมา ขาลงก็ต้องโรยตัวลงไปทางเดิมนะครับ

📷

ถ้าชุดพร้อมจะอยู่อีกสักชั่วโมง ตอนนี้ประมาณ เจ็ดโมงเช้า พี่ผู้ช่วยผมเริ่มออกอาการย่ำแย่ ด้วยอากาศที่บางเบา ลมกระโชกแรง อุณหภูมิที่หนาวจัดและชุดที่ไม่พร้อม ถอดถุงมือมาอีกที มือสีม่วงแล้วครับ ตัดสินใจไต่เขาลงจะดีกว่า เพราะก็ได้ภาพพอสมควรแล้ว อยู่ต่ออาจจะไม่ปลอดภัยต่อชีวิต โดยขาลงก็เดิน ไต่ หมอบ คลาน กลับตามทางเดิมที่ขึ้นมาเมื่อเช้ามืดนั่นแหละ

📷

ตอนขึ้นเสียวเพราะมันมืด วังเวง ลมแรง ขาลงนี่เสียวกว่า เพราะเห็นความสูงลอดหว่างขาชัดเจน พวกเราต้องโรยตัวลงตามไหล่เขาและชะง่อนหิน แบบว่า สู้งสูงๆๆๆๆ (ผมกลัวความสูงเป็นชีวิตจิตใจ อาศัยใจสู้ หน้าด้านก็ลุยๆไปเพราะอยากได้รูป)

📷

ลงมาได้พักนึง ก็มองย้อนกลับไปบนยอดคินาบาลู เหมือนความฝัน นี่ผมทำได้แล้วจริงๆใช่มั๊ยเนี่ย

📷

ตอนเดินขึ้นใช้เวลาไต่ประมาณสี่ชั่วโมง ขาไต่ลงใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง จึงเดินลงจากยอดเขากลับถึงห้องพัก เพื่อเก็บกระเป๋าแล้วแบกสัมภาระทั้งหมดลงไปยังห้องอาหารเพื่อหม่ำมื้อสาย และจะเดินลุยป่าลงจากเขาต่อแบบ non stop มุ่งสู่ที่ทำการอุทยานเบื้องล่างต่อไป

โบกมือลาบ้านพักหลังน้อยท่ามกลางขุนเขาของเรา

📷

ถึงห้องอาหาร พวกเราคืนไฟฉายที่เช่ามาเมื่อวาน และทำการเช็คเอาท์ห้องพัก จากนั้นก็กินข้าว เมนูก็แบบเมื่อวานเปี๊ยบ แต่วันนี้มีขนมปังด้วย ค่อยยังชั่วหน่อย ก่อนที่เราจะเริ่มเดินทาง ผมแวะออกไปตรงระเบียงห้องอาหาร เพื่อถ่ายมวลเมฆอีกสักครั้ง

📷

นั่งจิบกาแฟ ให้เมฆลอยกระแทกหน้าเล่นกันเลยจ้า

📷

ตอนนี้ เวลาเก้าโมงครึ่ง ลมก็ยังแรงและอากาศก็ยังหนาวมากนะครับ  ถ่ายไป นั่งจบกาแฟร้อนๆไป โอ๊ย สวรรค์ ยังไม่อยากลงเขาเลยอ่ะ

(ถ้าให้แนะนำควรจะค้างที่บ้านพักอีกสักคืนจะดีมาก เดินแบบพวกผม สังขารขาท่านอาจจะพังได้)

สิบโมงเช้า ออกเดินทางลงจากเขา ระยะทางอีกหกกิโลเมตร จึงจะถึงที่ทำการอุทยานเบื้องล่าง

โดยพวกเราได้จัดสัมภาระให้ลูกหาบช่วยแบกลงบางส่วน แต่ผมก็ยังคงแบกอุปกรณ์กล้องและขาตั้งกล้องเช่นเดิม (ไม่ต้องอาบน้ำแปรงฟันกันละ หนาวสุดๆ)

ข้อแตกต่างระหว่างขาขึ้นและขาลงในการเดินป่าและปีนเขา จะมีจุดที่สังเกตเห็นได้ชัด สองสามข้อนะ

ข้อแรก ขาขึ้น หัวใจ ปอดและกล้ามเนื้อน่องและหน้าขา จะทำงานหนักหนาสาหัสมาก ขาจะปวด ฝ่าเท้าจะพอง หัวใจและปอดคุณจะเต้นโครมครามยิ่งกว่าจังหวะสามช่า ยิ่งถ้าไปปีนเขาที่อากาศบางเบา จะยิ่งเหนื่อยง่ายกว่าปกติ ประเมินกำลังและความฟิตกันไว้ให้รอบคอบด้วยนะครับ (คนแก่ก็มีขึ้นไปได้นะ แต่ขอให้ฟิตมาสักนิด เดินไปเรื่อยๆก็ถึง)

ยาดม กับพวกยาแก้ปวดจัดหนักรอได้เลย น้ำดื่มติดไปด้วย

ข้อสอง ขาลง พระเอกของงานที่คุณต้องใช้ คือ หัวเข่า แต่เค้าจะมาพังก็ตอนนี้แหละ เดินไปเจ็บเข่าแปล็บๆไป เพราะถ้าคุณขึ้นมาชัน ขาลงทางเดิมมันก็จะชันเช่นกัน ต้องใช้เข่าในการเบรคบ่อยๆ ทำให้เข่าจะเดี้ยงและเจ็บมากในตอนนี้

ช่วงที่ผมเดินลงมา จนถึงกิโลเมตรที่สาม มือที่จับขาตั้งกล้องยันพื้น รู้สึกมันแฉะๆเหนียวๆ คิดว่าเป็นเพราะยางไม้ที่หล่นใส่ จึงไม่สนใจนัก เดินต่ออย่างเดียว แต่มือมันเริ่มแฉะและเหนียวมากขึ้น เริ่มรำคาญเลยพลิกมือมาดู ให้ทายครับว่าเกิดอะไรขึ้น

แผลที่โคนนิ้วนางมือขวาของผมที่ระวังมาตลอด ฉีก !!  เลือดไหลเป็นทางยาวจนแฉะหัวขาตั้งกล้องไปหมด โอเค ต้องหยุดพักเพื่อทำแผลไปโดยปริยาย เอ้า เหนื่อยพอดี พักสักนิดก็ดีเหมือนกัน

มาไต่เขาแต่ใส่เสื้อ Love Andaman ไม่ได้พาไปเที่ยวทะเลนะ เสื้อของน้องมันใส่สบายดีเลยติดมาด้วย ซับเหงื่อดีนักแล (ส่วนใครอยากเที่ยวทะเลไทย ลองติดต่อกับ Love Andaman ดูนะ บอกผมแนะนำมาจะได้ราคาแพงเป็นพิเศษ 555 ล้อเล่นนะ อิอิ)

📷

ทำแผลเสร็จแบบง่ายๆ ประมาณห้ามเลือดไปก่อน เริ่มเดินทางต่อดีกว่า ตอนนี้บ่ายสามแล้ว เหลืออีกตั้งสามกิโลเมตร สู้ต่อไป

ระหว่างทางเดินทาง ก็จะมีแฉะบ้างแห้งบ้าง ชุ่มชื้นบ้างตามสภาพของป่าดิบเขา ขามาโครไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง พืชพรรณจิ๋ว แมลงตัวเล็กๆ เยอะแยะมากมายและหลากหลายมาก

ถ่ายกันสามวันก็คงไม่สาแก่ใจแน่นอน

เทียบกับขนาดกับมอสดูนะครับ ใบไม้เล็กจิ๋วมากๆ

📷

ใบไม้สีทอง ไม่ได้มีการตกแต่งภาพใดๆ

📷

📷

หนอนน้อยตัวจิ๋ว

📷

ช่วงเดินลงนี่ พวกเราไม่ค่อยได้ถ่ายอะไรมากนักเพราะทั้งแบตคนแบตกล้องริบหรี่เต็มที ประกอบกับอากาศบางช่วงในป่าที่เดินก็มืดครึ้มลงเรื่อยๆ ทำเวลาดูจะดีกว่า

รูปสุดท้ายน่าจะเป็นรูปนี้

📷

ช่วงกิโลเมตรที่สองลงไปกิโลเมตรที่หนึ่ง เข่าผมและพี่ผู้ช่วยออกอาการหนักหน่วง ต้องวางกระเป๋าพักเป็นระยะๆ มันเดินไปเจ็บเข่าแปล็บๆไป  ช่วงนี้ทรมาณมากครับ เรี่ยวแรงก็จะหมด เริ่มเดินเป๋ๆกันแล้ว

หลังจากกัดฟันกะเผลกตัวเองมานานหลายชั่วโมง ผมก็เดินมาถึง Tempohon Gate เมื่อเวลาห้าโมงเย็นสามสิบนาที (หลายคนที่ไทยคงกำลังเลิกงาน ส่วนผมก็เลิกเดินพอดี) พวกเรานั่งพัก ถอดรองเท้า ถุงเท้าออก เข้าใจคำว่า “ผู้ดีตีนแดง” ก็ตอนนี้ เท้าผมแดงเถือกอย่างกับลูกมะเขือเทศ (จะถ่ายให้ดูก็เกรงจะไม่สุภาพ) ส่วนไกด์เรา วิ่งขึ้นลงเขาได้สักสองรอบแล้วมั้ง นั่งดูดบุหรี่รอเราอยู่นานละ ฮ่าๆๆ  รู้นะว่ามารอค่าแรง จัดให้ครับ ผมทำการจ่ายเงินค่าลูกหาบทั้งขาไปและกลับเป็นราคาทั้งสิ้น 350 ริงกิต (ประมาณ 3,500 บาท)

เมื่อพักกันจนหายหอบแล้ว อารมณ์และจิตใจเริ่มปกติ พูดคุยหยอกล้อและแสดงความยินดีกันอย่างสนุกสนานในหมู่นักปีนเขานานาชาติที่อยู่ข้างๆกัน พวกเราทำสำเร็จแล้ว พิชิตยอดเขาที่นักปีนเขาทั่วโลกต้องมาเก็บพอร์ทได้อีกหนึ่งลูก ภูมิใจจริงๆครับ

📷

สักอึดใจ บ๊อบบี้ก็มารับพวกเราลงไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติคินาบาลู เพื่อทำการรับใบประกาศนียบัตร ยืนยันการเป็นผู้พิชิตยอดเขาคินาบาลู เย้ เย้ เย้!!! สวยงาม ชื่อ นามสกุลชัดเจน บอกหมายเลขของตัวเองด้วยว่าเป็นคนที่เท่าไหร่ที่พิชิตยอดเขาแห่งนี้ได้ ของผมเป็นคนที่แสนกว่าๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นคนไทยคนที่เท่าไหร่นะ เจ้าหน้าที่บอกคนไทยที่มาพิชิตที่นี่มีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งที่มาเยอะ

(เดี๋ยวพรุ่งนี้จะถ่ายใบประกาศนียบัตรมาอวด สารภาพว่าตอนนั้นลืมถ่าย เพราะนั่งลิ้นห้อยอยู่หน้าที่ทำการ ฮ่าๆๆ) จากนั้นบ๊อบบี้พาเราไปกินมื้อเกือบเย็นที่ร้านอาหารของที่ทำการ สั่งง่ายๆครับ ข้าวผัดอะไรสักอย่าง กับต้มอะไรสักอย่างคล้ายๆต้มยำ แต่ของบ้านเราอร่อยกว่าเยอะ แล้วก็โค้กอีกหนึ่งกระป๋อง เป็นอีกมื้อที่ผมและพี่ผู้ช่วยต้องรับประทานขี้ฟันตัวเอง เพราะไม่ได้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ครบ 2 วันพอดี แบคทีเรียเต็มช่องปาก ฮ่าๆๆ โบกมือในใจ อำลายอดเขาคินาบาลู มีโอกาสอีกครั้งจะหาทางมาค้างสักสองคืน จะตามเก็บดาวและทางช้างเผือกอีกครั้ง (คิดถึงเรื่องนี้ทีไร เสียใจทุกที)

พวกเราเดินทางออกจากอุทยาน เมื่อเวลาประมาณ หกโมงเย็นกับอีกสามสิบนาที เพื่อกลับไปเช็คอินที่โรงแรมเดิมที่เคยพักในวันแรกในเมือง KOTA KINABALU อีกเกือบๆสองชั่วโมงกว่าจะถึง ของีบก่อนละ คร่อก…ฟี้zzzz

ผมตื่นมาอีกที ท้องฟ้ามืดสนิทไปแล้ว และพวกเราก็เข้ามาอยู่ตัวเมืองเรียบร้อย อีกสักพักก็ถึงโรงแรมแล้ว เฮ้อ ขาตึงมากๆ จะได้นอนแช่น้ำอุ่นๆคลายเส้นสักที ถึงโรงแรมปุ๊บ เดินเช็คอินแบบเมื่อยล้า กะเผลกๆ บอกลากับบ๊อบบี้ พรุ่งนี้พอมีเวลาเหลืออีกวันนึงก่อนที่จะกลับเมืองไทย จะแวะไปหาถ่ายแสงตอนเช้าๆและนั่งรถเล่นรอบเมืองสักรอบ ไปชมหมู่บ้านวัฒนธรรม Mari Mari

พวกเรานัดกับบ๊อบบี้ไว้ตอนตีห้า รู้สึกตัวเองเป็นช่างภาพคิวแน่น คิวทองยอดมงกุฏ คิวเบียด ทรมาณสังขารเหมือนกันนะเนี่ย ยังไม่ได้นอนเต็มที่สักวันเลยครับ  เดินถึงห้อง สิ่งแรกที่ทำ คือ ชาร์จแบตอุปกรณ์ทุกอย่างที่มี จัดเตรียมของที่จะนำไปถ่ายวันพรุ่งนี้ จากนั้นจะเป็นการอาบน้ำและแปรงฟันของพวกผมที่พิถีพิถันที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตลูกผู้ชาย…

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ขอดื่มน้ำหนึ่งขวดและอัดยาแก้ปวดเมื่อยและทำแผลที่นิ้ว

จากนั้น…สลบเหมือด Shut Down แบบทันทีทันใด

พรุ่งนี้ลุยกันต่อครับ

วันที่สี่

ตีห้า เสียงนาฬิกาปลุก งัวเงีย สลึมสลือ เพลีย เมื่อย มาหมดครับ ร้าวทั้งร่าง ตื่นไปอาบน้ำ เตรียมตัวลุยเมือง KOTA KINABALU อีกหนึ่งวัน โดยมีจุดหมายหลักอยู่ที่ หมู่บ้านวัฒนธรรม Mari Mari แต่ช่วงเช้าเราจะไปรอยลแสงยามเช้าแถวๆนอกเมืองก่อน

บ๊อบบี้มารอรับเราเรียบร้อย ขึ้นรถเสร็จก็บึ่งแบบเร่งด่วน ประมาณครึ่งชั่วโมง บ๊อบบี้พาผมมาจอดที่ตีนสะพานแห่งหนึ่ง  เดินขึ้นสะพาน โอ้ววว ที่นี่มุมสวยจริงๆ ที่สำคัญเห็นยอดเขา คินาบาลู ไกลๆด้วย ต้องขอบคุณบ๊อบบี้ที่พามา

📷

📷

การเคลื่อนไหวบนสายน้ำ แสงที่ส่องฉาบขุนเขาและเมฆหมอก...เช้าวันใหม่เริ่มขึ้นแล้ว

📷

ผมถ่ายอยู่ที่นี่ประมาณ เกือบๆชั่วโมง ได้รูปพอสมควร จึงเดินทางกลับเข้าไปหาอะไรดูต่อในเมือง

แวะไปเรื่อยๆ มัสยิดที่นี่สวยมากครับ

📷

📷

ขับเข้ามาดูชีวิตคนในเมือง Kota Kinabalu ซึ่งเมืองนี้ จะอยู่ในรัฐซาบาห์ บนเกาะบอร์เนียว ประเทศมาเลเซีย ที่นี่จะมีผู้คนที่มีเชื้อสายแตกต่างกันมากถึง 32 ชนเผ่าอยู่ร่วมกัน และในอดีตที่นี่ก็เต็มไปด้วยชนเผ่าที่เป็นนักล่าหัวมนุษย์ แต่ปัจจุบันเค้าไม่ได้ล่ากันแล้วนะครับ หมดไปเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาแล้วล่ะ สิ่งที่พึงระวังในการสนทนากับผู้คนที่นี่  คือ ห้ามถามเรื่องศาสนาและถามเรื่องชนเผ่าของเค้า เพราะอาจจะกลายเป็นเรื่องกระทบกระทั่งระหว่างเชื้อชาติของแต่ละชนเผ่าได้ อันนี้ทางบ็อบบี้แจ้งมาว่าห้ามขาด คนที่นี่เค้าไม่คุยกันเรื่องพวกนี้ ส่วนใครอยากจะรู้ที่มาที่ไปของแต่ละชนเผ่า ให้ไปดูที่หมู่บ้านวัฒนธรรม มาริ มาริ (Mari Mari Cultural Village) ที่ผมกำลังจะไปก็ได้นะครับ

อัตราค่าเข้า Mari Mari Village

ถ้าหารถไปเอง ผู้ใหญ่ 80 ริงกิต เด็ก 70 ริงกิต

ถ้าจองผ่านบริษัททัวร์ รวมรถรับส่ง ผู้ใหญ่ 140 ริงกิต เด็ก 5-11 ปี 110 ริงกิต (รวมอาหารรอบกลางวันแบบบุ๊ฟเฟ่ต์)

หมู่บ้านวัฒนธรรมแห่งนี้ที่ได้จำลองวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมืองไว้ถึง 3 ชนเผ่า คือเผ่า Dusun, เผ่า Lundayeh และชนเผ่า Bajau ซึ่งได้อาศัยอยู่บนยอดเขาคินาบาลูนั้นเอง ชมการแสดงที่สมจริง เช่น การจุดไฟด้วยกระบอกไม้ไผ่, การประกอบอาหารพื้นบ้าน, การเป่าลูกดอกสำหรับล่าสัตว์, วิธีการทำเชือกและเสื้อผ้าด้วยเปลือกไม้ และพิธีการต้อนรับผู้มาเยือนของชนเผ่า Bajau ที่ตื่นใจ ชมภายในบ้านของเผ่าล่าหัวมนุษย์ ที่ตรงกลางลานบ้านของเขาจะมีแผ่นไม้ใหญ่ๆ ไว้ร้องรำทำเพลงที่สามารถทำหน้าที่คล้ายๆ กับเป็นสปริงไม้ ซึ่งพวกเขาจะกระโดดขึ้นไปแตะเครื่องรางบนเพดานบ้านที่สูงมาก

📷บ้านชาวเผ่านักล่าหัวในอดีต

ความจริงเกี่ยวกับชนเผ่าล่าหัวมนุษย์บนเกาะบอร์เนียว

การล่าหัวเมื่อสมัยก่อนนั้น จะกระทำกับชนเผ่าที่เป็นศัตรูเมื่อมีการรบหรือโดนบุกรุกเท่านั้น และการนำกะโหลกที่ล่ามาได้ มาแขวนไว้รอบหมู่บ้านหรือในบ้าน ก็เพื่อแสดงถึงการข่มขู่ผู้ที่จะมารุกรานให้หวาดกลัว อีกนัยหนึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการปกป้องครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รักได้ ของชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวอีกด้วย

📷

ชุดนักรบของเผ่าพร้อมคู่ใจ

📷

วิธีการทำชุดจากเปลือกไม้แบบโบราณ

📷

เปลสะพายเด็ก ประดับด้วยลูกปัด ลวดลายสื่อถึงการขับไล่ภูตผีไม่ให้มากล้ำกราย

📷

ภายในบ้านชาวเผ่าพื้นเมือง เวลามีงานฉลองจะประดับประดาประมาณนี้ (ตอนแรกนึกว่ามีลิเกในบ้าน)หากสังเกตจะเห็นบันไดเล็กๆด้านขวา ซึ่งจะให้ลูกสาวของบ้านขึ้นไปนอนด้านบน แล้วคนเป็นพ่อแม่จะดึงบันไดออก เพื่อกันลูกสาวหนีเที่ยวกลางคืน (เค้าบอกมาแบบนี้จริงๆนะ)

📷

ผมขอลองอาวุธลอบสังหาร ลูกดอกอาบยาพิษ ยิงได้ง่ายและแม่นเหมือนจับวาง ฝีมือใช้ได้เหมือนกันนะ คล้ายๆกับตอนผมถือกล้องเล็งแหละ ง่ายๆ ฮ่าๆๆ

📷

จากนั้นมาพักดูการแสดงของชาวเผ่าครับ จังหวะเร้าใจมาก เร็วกว่าลาวกระทบไม้บ้านเราประมาณยี่สิบเท่าเห็นจะได้ ตอนแรกอยากไปลองเล่นด้วย พอเห็นแบบนี้แล้ว ไม่เอาดีกว่า กลัวขาหัก

📷

จะว่าไป ตัวผมก็มีทรงหน้ากลมกลืนกับชาวเผ่ามากอยู่นะ

📷

จากนั้นพวกเรามุ่งหน้ากลับเข้าตัวเมือง Kota Kinabalu เพื่อนั่งรถเล่นรอบเมืองดูบ้านเมืองอีกนิด

ตอนค่ำๆแวะมาจัดมื้อเย็น ที่ร้านนี้ครับ บักกุ๊ดเต๋ที่อร่อยและดังที่สุดในเมือง Kota Kinabalu

📷

ผมลองชิมดู อร่อยจริงๆครับ ดูจะเป็นอาหารที่ผมกินในมาเลเซียแล้ว กินได้มากกว่าทุกมื้อที่ผ่านมา ราคาไม่ได้แพงอะไร  6 ริงกิต 9 ริงกิต ซัดซะเกลี้ยงชาม

📷

📷

อิ่มแล้วคงต้องกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม คืนนี้จะเป็นคืนแรกที่พวกเราได้นอนพักผ่อนแบบเต็มที่จริงๆและคงเป็นคืนสุดท้ายที่มาเยือน Kota Kinabalu อีกด้วย พรุ่งนี้ผมจะเดินทางกลับประเทศไทยแล้วล่ะ

วันที่ห้า

ตื่นนอนสายๆ ลุกมาประมาณ แปดโมงเช้า นอนเต็มอิ่ม หลังจากสี่วันที่ผ่านมาใช้ร่างกายอย่างหนัก ค่อยสดชื่นขึ้นมานิดนึง ลงมากินข้าวที่ห้องอาหารของโรงแรม และเช็คเอาท์ตอนสิบโมงครึ่ง  แวะไปซื้อของที่ระลึกและเลยไปสนามบินโกตา คินาบาลู เพื่อเดินทางไปยัง กัวลาลัมเปอร์ ในไฟล์ทบ่าย

📷

📷

📷

 ทริปนี้ผมได้เสื้อยืดมาสามตัว ส่วนพี่ผู้ช่วยผมหอบเต็ม ไม่รู้ซื้อไปฝากสาวที่ไหนบ้าง

ผมไม่มีสาวๆให้ฝากก็ซื้อไปใส่เองนี่แหละ จากนั้นบ๊อบบี้พาเราไปส่งที่สนามบิน

โบกมือลากันเรียบร้อย พวกเราก็ขนสัมภาระเพื่อเช็คอินรอเวลาขึ้นเครื่อง

วันนี้ได้เจอแอร์คนสวยรอส่งผมกลับ KL

📷

บ่ายโมงสี่สิบพวกเราอยู่บนเครื่องเรียบร้อย แต่อากาศแปรปรวนฝนตกหนัก จึงต้องรอไปอีก 20 นาทีจึงทำการเหินเวหาได้ ข้างบนฟ้าระหว่างนั่ง เมฆฝนน่ากลัวมาก ตกหลุมอากาศใหญ่ๆให้สะดุ้งอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ผ่านมาได้โดยปลอดภัย  เดินทางถึงกัวลาลัมเปอร์ประมาณเกือบๆสี่โมงเย็น ต้องรีบวิ่งไปเช็คอินเครื่องที่จะบินต่อกลับสุวรรณภูมิอย่างเร่งด่วน

เช็คอินเรียบร้อย เราจะบินกลับกรุงเทพเวลา ห้าโมงเย็นห้าสิบนาที ถึงไทยน่าจะราวๆ สองทุ่ม

เดินเล่นได้อีกนิด ถ่ายสนามบิน KLIA1 แวะซื้อของอีกแป๊บ พวกเราต้องโบกมือลามาเลเซียอย่างจริงจังแล้วละครับ Bye Bye Malaysia

📷

ในการเยือนยอดเขาคินาบาลูครั้งนี้ ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เป็นการเดินป่าที่เสี่ยงและเสียวที่สุดสำหรับช่างภาพที่กลัวความสูงจนขึ้นสมองอย่างผม แต่เมื่อผ่านมาได้แล้ว ผมประทับใจมากที่สุดในชีวิตอีกทริปหนึ่ง ที่ได้ไปเดิน ไปชม ไปสัมผัสแบบใกล้ชิดในที่ที่น้อยคนในโลกจะได้ไปเยือนอีกที่หนึ่ง ได้พิสูจน์ขีดจำกัดของร่างกายและจิตใจตนเอง มันเหนื่อย ทรมาณแต่ก็สนุก สุขและน่าภูมิใจนัก

“ใจถึงก็ไปถึง ผมทำได้ คุณก็ทำได้เช่นกัน”

📷

การเดินทางมุ่งหน้าสู่ยอดเขาคินาบาลูนั้น คุณผู้อ่านจะต้องเตรียมจองห้องพักบนเขา ล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน ถ้าจะให้ชัวร์สุดควรล่วงหน้า 6 เดือนกันเลยทีเดียว เพราะที่นี่จะจำกัดจำนวนยอดคนที่จะมาพัก และสถานที่บริการมีค่อนข้างจำกัด เพราะต้องรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก จะมาจองล่วงหน้าสองวีคหรือเดินดุ่มๆไปหาห้องพักเอาข้างหน้าเหมือนบ้านเรานั้น จะเป็นไปไม่ได้เลย เค้ามีระบบการจัดการเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติที่ดีมากๆ ดีกว่าบ้านเราเยอะ อันนี้ต้องยอมรับ

หลังจากจองที่พักบนเขาได้แล้ว ค่อยมองหาตั๋วเครื่องบินที่จะเดินทางไปอีกที จากนั้นก็เช็คและเตรียมการเดินทางระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ Kota Kinabalu  ไม่ว่าจะเรื่องรถโดยสาร ตลาด โรงแรม อาหารการกิน ถ้าจะเอาสะดวกหน่อยก็ติดต่อบริษัททัวร์ไว้ก็ดีครับ  เค้าจะมีรถมารับส่งเราจากสนามบิน Koata Kinabalu Airport – Kinabalu National Park ไปหลายคนหารกันก็ไม่เท่าไหร่ครับ เก็บแรงไว้ลุยบนเขาดีกว่า แต่ถ้าเวลาเยอะอยากแบกเป้ตะลุยไปเรื่อยๆหรือลงจากเขาเสร็จจะไปดำน้ำ เดินเล่นในเมืองต่อแบบชิวๆก็แล้วแต่สะดวกละครับ

     สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

-    การท่องเที่ยวมาเลเซีย สำนักงานประเทศไทย เลขที่ 1-7 ถนนสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ โทร. 02-6363380-3 / www.tourismmalaysia.gov.my

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงบรรทัดนี้นะครับ

สามารถติดตามผมเพิ่มเติมได้ที่เพจ Big Stopper / Travel Photography ตามลิ้งค์นี้ครับ www.facebook.com/numfotoGallery

ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบ...ผมรักพวกคุณนะ ^_^

จากใจ Mr.BigStopper

Comments


bottom of page